โรงเรียนยุพราช จ.เชียงใหม่ ปี พ.ศ.2527 ย้อนหลังไป 33 ปีที่แล้ว ผมเข้าเป็นนักเรียนชั้น ม.1
เรียนที่อาคารเรือนเพชร ก่อนที่จะมอบตัว พ่อพาผมไปยืนไหว้อนุสาวรีย์ ร.6 หน้าตึกอำนวยการของโรงเรียน จำได้ว่าวันนั้นพ่อน้ำตาซึมดีใจที่ผมสอบเข้าโรงเรียนยุพราชได้ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะอยากจะเรียนเกี่ยวกับช่าง พอไปเรียนจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบวิชาช่างอะไรมากมาย
การเรียนหนังสือในยุคนั้นก็เรียนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ อะไรที่นอกเหนือจากบทเรียนก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ เวลานั้นผมไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง หรือ ไม่มีใครบอกผมก็ไม่แน่ใจ รู้แต่เพียงว่าโรงเรียนยุพราชที่ผมเรียนเป็นวัดเก่ามาก่อน เมื่อผมยังเป็นเด็ก ในราว พ.ศ.2522 เคยเข้าไปเที่ยว ยังมีซากเครื่องบินขับไล่จอดอยู่ยังเข้าไปเล่นก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้อย่างไร และที่แปลกใจก็คือบทเรียนในชั้นประถมและมัธยมเวลานั้นไม่มีหลักสูตรท้องถิ่นพาไปเดินชมวัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ ที่เป็นท้องถิ่นเชียงใหม่ เมื่อผมมีอายุมากขึ้นก็คิดย้อนไปว่าทำไมถึงไม่มี
เรียนกันในหลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ จริงๆ
เวลาผ่านไปถึง 32 ปี ผมอยากรู้จักประวัติศาสตร์เชียงใหม่บ้านเกิดของผม และในปี พ.ศ.2559 ผมมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ครบ 20 ปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กหนุ่มสู่วัยกลางคน วันพฤหัสบดี 6 ตุลาคม พ.ศ.2559 ผมซื้อหนังสือ เจ้าดารารัศมี พระศรีมิ่งเมืองเชียงใหม่ เขียนโดย คุณรุ่งวิทย์ สุวรรณอภิชน เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นใหม่มีขนาดหนา 728 หน้า ราคา 780 บาท มาจากศูนย์หนังสือจุฬาฯ
สาเหตุที่ผมซื้อมาอ่านเพราะผมอยากรู้ว่า ทำไมเจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นชาวเชียงใหม่ ทำไมถึงไปเป็นพระชายา ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวง ร.5 ทำไมพ่อของพระนางเจ้า
เจ้าคือ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าครองเชียงใหม่องค์ที่ 7 ซึ่งอัฏฐิของท่านอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ถึงได้ยกลูกสาวเหมือนกับเป็นตัวประกัน ทำไมไม่รบกันสักตั้งหรือมีศึกสงคราม เพราะเวลานั้นเชียงใหม่เหมือนกับเป็นประเทศ ทำไมคนเชียงใหม่ถึงได้อ่อนแออย่างนี้ ด้วยความสงสัยหลายประการอย่างรู้เรื่องราวของเชียงใหม่บ้านเกิดของผม
ซึ่งถามว่าผมเกิดที่เชียงใหม่ เติบโตและเรียนหนังสือจนกระทั่งจบปริญญาตรี ผมรู้สึกว่าผมรู้จักเชียงใหม่น้อยมากจริงๆ จึงซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน
หลังจากลงมืออ่านหนังสือเล่มนี้ผมเริ่มเห็นภาพเชียงใหม่ในอดีต รู้สึกเห็นใจเจ้าดารารัศมีอย่างยิ่ง ถูกส่งไปเป็นพระชายา อายุเพียง 13 ปี แล้ว และไม่ได้เสด็จกลับเชียงใหม่อีกเลยเป็นเวลาถึง 22 ปี เมื่อครั้งเสด็จพ่อเสียชีวิตก็ไม่ได้กลับ หลังจากที่ในหลวง ร.5 เสด็จสวรรคตแล้วถึงได้กราบลาในหลวง ร.6 ไปประทับที่ จ.เชียงใหม่บ้านเกิด ใน พ.ศ.2457 สิริรวมที่พระองค์ท่านใช้ชีวิตอยู่ในบางกอกถึง 27 ปี
ในหนังสือทำให้ผมเพิ่งทราบว่าท่านเป็นเจ้าของตลาดวโรรส , เป็นผู้ร่วมประพันธ์เพลงน้อยใจยา และมีบทบาทในการเชื่อมโยงล้านนากับกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้ถวายการต้อนรับในหลวง ร.7 เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ด้วย
ผมได้อ่านบันทึกากรเดินทางไปเชียงใหม่ในอดีต สมัยที่เจ้าดารารัศมีกลับมาเยี่ยมเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2451 หลังจากไม่ได้กลับบ้านถึง 22 ปี พระองค์ท่านเดินทางด้วย รถไฟ และเปลี่ยนเป็นเรือโดยเส้นทางแม่น้ำปิง
และที่สำคัญก็คือที่ผมได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ ก็คือ ตึกอำนวยการ โรงเรียนยุพราชที่ผมเคยไปยืนไหว้กับพ่อก็คือ บ้านเกิดของเจ้าดารารัศมี
อยากขอเชิญชวนอ่านหนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเจ้าดารารัศมีที่ละเอียดที่สุดแล้ว
ถ้าท่านใดขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ ขอเชิญชวนไปเที่ยววัดสวนดอก ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ คณะทันตแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถานที่บรรจุอัฏฐิของพระองค์ท่านและเจ้านายฝ่ายเหนือ
ถ้าท่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะเข้าใจประวัติศาสตร์ล้านนาและทำให้เที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 2 ของประเทศไทยได้อย่างสนุกและลึกซึ้งมากกว่านักท่องเที่ยวคนอื่นๆ กับประสบการณ์ที่ย้อนอดีตไปสำรวจชีวิตและจิตวิญญาณของเมืองเชียงใหม่
ชีพธรรม คำวิเศษณ์
บันทึก อังคาร 3 ธันวาคม พ.ศ.2560
ความคิดเห็น