โลกธรรม 8 กับสังคมออนไลน์ ถ้าผมเป็นพ่อของน๊อต #กราบรถกู

               
                                   คลิปเช็คกระแสสังคม #กราบรถกู  บน Twitter



เสียงโทรศัพท์ดังกริ๊งขึ้นมา ผมปรับเสียงเรียกเข้าให้ดูเหมือนกับโทรศัพท์ยุคโบราณเผื่อให้ได้ความคลาสสิค แทนที่จะเป็นเพลงฮิปฮอบให้ดูทันสมัย
ผมงัวเงียตื่นจากพะวังกำลังจะหลับเอาแรงเตรียมไปว่ายน้ำ วันนี้ทำคลิปอัพโหลดเกี่ยวกับติดตามกระแสโซเชียลมีเดีย #กราบรถกู ขึ้นไปบนยูทูบและดูผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นกับตัวนักแสดงที่ฝืนกระแสสังคม ซึ่งก็ปรากฏว่า อนาคตดับวูบทันที ต้นสังกัด GMM Grammy สั่งปลดจากการเป็นพิธีกรและบอกเลิกสัญญา สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ยุบรายการที่เขามีส่วนร่วมในการจัดรายการ รางวัลคนดีตัวอย่างถูกริบคืน ด้วยการกระทำเพียงชั่ววูบในความรักที่มีต่อรถมินิคันหรูมากเกินไป
"อาจารย์ขา หนูเอินจาก Thaipbs ขอสัมภาษณ์เกี่ยวกระแสสังคมออนไลน์บนโซเชียลมีเดียหน่อยคะ"
คุณเอินจาก Thaipbs ก่อนหน้านี้เธอเคยมาสัมภาษณ์ผมเรื่องขายข้าวออนไลน์
ผมเดินไปที่สระว่ายน้ำ ก่อนลงสระเธอโทรมาสัมภาษณ์อีกครั้ง
"โซเชียลมีเดียเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเพราะว่าเป็นหลักพื้นฐานของประเทศที่ต้องการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกทางความคิดเห็นซึ่งมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ หลักการของโซเชียลมีเดียที่ มาร์ค ซัคเกอร์เบริ์ค ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊คมีวิสัยทัศน์ก็คือ เขาต้องการเพิ่มอำนาจในการแสดงความให้กับประชาชนคนธรรมดามีพลังเหมือนกับสื่อสารมวลชนกระแสหลัก คนธรรมดาก็สามารถผลักดันให้เกิดพลังทางสังคมได้ หลักเกณฑ์ของโซเชียลมีเดียเป็นอย่างนี้ครับ กรณีของ #กราบรถกู
ก็เริ่มเห็นผลแล้ว"
ผมบอกต่อไปว่า "กล้องโทรศัพท์ที่ติดอยู่กับโทรศัพท์มือถือเชื่อมต่อด้วยอินเทอร์เน็ต ได้เพิ่มพลังอำนาจให้กับคนธรรมดา มันก็คือสถานีโทรทัศน์ที่เผยแพร่เรื่องราวข่าวสารนั่นเอง ยิ่ง Facebook Live ให้ถ่ายทอดสดด้วยแล้ว คนธรรมดาก็เหมือนสถานีโทรทัศน์ ความเร็วของ Twitter ที่ผลักข่าวสารเปลี่ยนข้อมูลในสมองคนด้วยแล้ว ทำให้เป็นกระแสสังคม แฮชเทค #กราบรถกู ขึ้นอันดับ 1
แม้ว่าพิธีกรหนุ่มเจ้าของรถจะออกมาให้การอย่างไร แต่ส่ิงที่ถูกเผยแพร่ออกไปเป็นหลักฐานที่คนธรรมดาได้รายงานออกไป คำพิพากษาบน Twitter และ โซเชียลมีเดีย เหมือนกับการเป็นลูกขุนในศาลของประชาชนนั่นเอง สังคมตัดสินไปแล้ว แต่กระบวนการยุติธรรมก็ค่อยๆ ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ"
จบการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์



ระบบ Youtube Analytics 



ผมมานั่งตรึกตรองและเช็คกระแสอยู่เรื่อยๆ คลิปบนยูทูบที่ผมทำรีวิวกระแส Twitter ไว้บนยูทูบ มีผู้ชมถึงเช้าวันอังคาร 8 พ.ย. 2559 สูงถึง 6,800 วิว เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิกยูทูบของผมเพียง 3 พันคนเท่านั้น

กระแสโซเชียลมีเดียรุนแรงกว่าที่คิดไว้เยอะ สมศักดิ์ อยู่ประพัฒน์ นักข่าวช่อง9 สำนักงานไทย อ.ส.ม.ท. รายงานสดผ่าน Facebook Live ของตัวเองในการแถลงข่าวเรื่อง #กราบรถกู จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพียงไม่เกิน 3 นาที มีผู้ติดตามชม 500 ราย มีการแชร์ผ่านเฟซบุ๊คไปอีก
จบการแถลงข่าวมีผู้ติดตามชมกว่า 16,000 ครั้ง

เฟซบุ๊คแฟนเพจของหนังสือพิมพ์ข่าวสด ตอนนี้กลายเป็นสถานีโทรทัศน์ไปแล้ว ถ่ายทอดสดการแถลงข่าวตอนตีหนึ่งที่สถานีตำรวจยานนาวา ที่น๊อค อัครณัฐ พิธีกรหนุ่มออกมาแถลงข่าวกับทนายความ
มีผู้ชมตามที่ผมเห็นเกือบ 2 ล้านครั้ง และการแถลงข่าวแสดงความคิดเห็นทำให้สถานการณ์หนักขึ้นไปอีกด้วยความแนะนำของทนายความที่บอกป้องกันตัว



       
                                         Facebook Live จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


บรรดาลูกขุนในสังคมออนไลน์เมืองไทยที่เป็นผู้พิพากษาผ่านทวิตเตอร์ กระแสบน Youtube ก็ใช่ย่อย คุณตี๋คุงศิลปินอิสระแต่งเพลง #กราบรถกู ดังบนยูทูบเพียงชั่วข้ามคืนกว่า 3 แสนวิว รายการเรื่องเล่าเช้านี้ช่อง 3 นำไปขยายผลอีกทั้งทีวีและเฟซบุ๊คมีผู้ชม 2 ล้านกว่าครั้ง

กระแสกระหน่ำ ผู้คนในโลกออนไลน์ทั้งมีชื่อเสียงและบุคคลธรรมดา กระหน่ำฟาดลงไปที่พิธีกรหนุ่ม ทั้งการถูกยกเลิกงานต่างๆ อนาคตจบลงไปและมืดมน เพียงชั่วข้ามคืนด้วยการใช้อารมณ์
และสถานะทางสังคมที่เหนือกว่าคู่กรณี ได้กลับมาทำลายตนเอง เฉกเช่นขุยไผ่ทำลายต้นไผ่
ตอนนี้เขาไม่มีที่ยืนแล้ว ผมไม่ได้สะใจอะไรมากมายเพราะรู้ว่าเพียงแค่นี้พิธีกรหนุ่มได้จบลงแล้ว
ด้วยเวลาหนึ่งนาที และจากที่เขาให้สัมภาษณ์อย่าติดสินผมในหนึ่งนาทีครึ่ง แต่สังคมออนไลน์ได้พิพากษาไปแล้ว ซึ่งถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองไม่รู้ว่าผมจะเป็นอย่างไร
เขาเองคงไม่ได้ถูกฝึกฝนการควบคุมอารมณ์มาก่อน บางครั้งการที่เขามีชื่อเสียงมาก
ชื่อเสียงนั้นอาจทำให้เขาเปลี่ยนสภาพจิตใจลึกๆ ให้กลายเป็นคนแบบนั้น ซึ่งชื่อเสียงและหน้าที่การงานอาจหล่อหลอมให้เขามีจิตใจอย่างนั้น

ถ้าผมเป็นคนโบราณแต่งงานและมีลูกตอนอายุ 17 ปี ซึ่งเพื่อนผมหลายคนบางคนก็มีลูกตอนอายุ 17 เหมือนกันตอนนี้ลูกก็โตเป็นหนุ่ม ถ้าหากคุณน๊อตเป็นลูกชายผมและผมเป็นอาจารย์สอนโซเชียลมีเดียเพื่อการประชาสัมพันธ์ ผมรู้ว่าอานุภาพรุนแรงแค่ไหน ยิ่งเขาเป็นบุคคลสาธารณะด้วยแล้ว
"ลูกรัก พ่อเสียใจกับการกระทำของลูก รู้ว่ารถคันนี้ ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง ลูกรักรถมาก แต่มันเป็นของนอกกาย พ่อเสียใจที่ไม่ได้สอนลูกเพียงพอในการควบคุมอารมณ์ สังคมไทยเป็นสังคมให้อภัยอยู่แล้ว ให้ลูกไปหาคู่กรณีเอาดอกไม้ธุปเทียน ไปขมาผู้ชายที่ลูกต่อยเขา ขอโทษพ่อแม่ รับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขออภัยสังคม ขอให้ยกโทษให้ รับผิดทุกอย่าง สิ่งที่ไปเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ หรือไม่อย่างนั้นลูกก็ไปหาจิตแพทย์ลองปรึกษาเพื่อบำบัดทางอารมณ์ บางทีลึก ๆ ลูกอาจจะเป็นคนเครียดหนัก เพราะต้องดูแลครอบครัวของเราที่อาจจะยังลำบากอยู่ ลูกอัดคลิปผ่าน Facebook Live แล้วนำไปโพสต่อใน youtube ส่งไปตามสำนักข่าวต่างๆ ใ้ห้เขาช่วยเผยแพร่การยอมรับผิดของลูกผู้ชายแบบลูก ถ้าแม้นลูกจะไม่มีงานทำและไม่มีรายได้เยอะแบบเดิม ก็ค่อยๆ ตั้งต้นชีวิตใหม่ ยอมรับกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต มนุษย์เราทุกคนเปราะบางเสมอ สังคมไทยเป็นสังคมให้อภัย ลูกอย่าดื้อแพ่งเลย จงใช้เวลาช่วงนี้ทบทวนกับสิ่งที่ได้ทำลงไปและยอมรับผิด"

ถ้าผมเป็นพ่อของเขาผมจะบอกเขาแบบนี้ และเห็นใจในความผิดพลาด ทุกคนเจ็บปวด
บทเรียนนี้จะได้สอนตนเองและเพื่อนร่วมอาชีพที่มีชื่อเสียงในการทำอะไรลงไปและสังคมที่กลายเป็นสังคมโซเชียลมีเดียตัดสินไปแล้ว

โลกธรรม8 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา
เป็นธรรมะที่อยู่คู่โลกอยู่คู่กับทุกข์คน เรื่องของการบริหารอารมณ์เป็นเรื่องใหญ่
การเข้าใจสังคมไทยที่ขยับเป็นสังคมโซเชียลมีเดีย เป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมากกว่าอำนาจทางการเมือง อำนาจทางการศาล อำนาจตุลาการ เขาได้พิพากษาในทันทีทันใดที่เห็นด้วยเครื่องมือที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ อำนาจที่เกิดขึ้นใหม่ทางโซเชียลมีเดียจะแสดงพลังของบุคคลธรรมดาออกไปเรื่อยๆ
ทวีความรุนแรงขึ้น ในทางเป็นคุณกับประชาชน ผู้มีความยุติธรรมเป็นหลัก เสียงส่วนน้อยอย่างดารา
ผู้หญิงที่ออกมาสนับสนุนน๊อตยังไม่สามารถทนกับกระแสเชึ่ยวกรากของโซเชียลมีเดียได้

กรณีศึกษา #กราบรถกู เป็นสิ่งที่อาชีพของบุคคลสาธารณะพึงสังวรไว้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ดารา นักร้อง ศิลปิน ฯลฯ หรือแม้แต่คนธรรมดา เราถูกตรวจสอบจากโลกสังคมออนไลน์โซเชียลมีเดียที่จะคอยปกป้องคุณธรรมความถูกต้องต่างๆ แม้ว่าความจริงจะถูกบิดเบือนด้วยข้อกฏหมายและอำนาจที่มองไม่เห็นก็ตาม

บันทึก อังคาร 8 พฤศจิกายน 2559
ชีพธรรม คำวิเศษณ์

       
       คลิปผู้เขียนให้สัมภาษณ์ สถานีโทรทัศน์ Thaipbs สังคมออนไลน์เปลี่ยนคนธรรมดาเป็นสื่อมวลชน

ความคิดเห็น