ขอไว้อาลัย ลุงหมัก อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ตกจากตำแหน่งเพราะทำกับข้าวออกทีวี

From ไว้อาลัยลุงหมัก

การเมืองเรื่องตัณหา เป็นหนังสือที่ อดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ได้เขียนขึ้น
เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วเล่าถึงชีวิตความเป็นมาของตนเองตั้งแต่เป็นเด็กจนมาเป็นนักการเมืองระดับชาติ
ลุงหมักเป็นผู้นำประเทศไทยคนเดียวในโลกใบนี้ก็ว่าได้ที่ตกจากตำแหน่งเก้าอี้ผุ้นำประเทศ
เพราะไปทำกับข้าวออกทีวี

From ไว้อาลัยลุงหมัก

ในฐานะที่ผมเป็นนักเรียนกฏหมายก็ยัง งง ว่านักกฏหมายบ้านเราเป็นถึงผู้พิพากษาอาวุโสทำไมเป็นถึงขนาดนี้ จนกระทั่ง อาจารย์ผู้สอนกฏหมายของผมเคยเป็นอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.เอกชน แห่งหนึ่ง
ถึงประกาศเลิกสอนกฏหมายเพราะ คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปเปิดพจนานุกรมไทยแล้วตัดสินลุงหมักให้ตกจากเก้าอี้ ผู้นำประเทศน่าสะท้อนใจที่สุดในโลก แหละนี่คือประเทศไทย
"ผมขอเลิกสอนกฏหมายเพราะผมไม่รู้จะไปสอนเด็กนักเรียนกฏหมายและอธิบายถึงกรณีเปิดพจนานุกรมตัดสินได้อย่างไร" อาจารย์ที่เคารพรักของผมได้เคยบอกกับผมไว้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับท่าน



ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เคยไม่ค่อยชอบลุงหมักเพราะปากร้าย ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใครทั้งสิ้น
อาจเป็นเพราะความอ่อนเยาว์ต่อโลกและไม่ค่อยได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองและชีวิตการเมืองการปกครองของไทย แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไรหลังจากที่ผ่านชีวิตและโลกมาพอสมควร




หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ การเมืองเรื่องตัณหา แล้วก็รู้สึกว่า ชีวิตของลุงหมัก
กว่าจะก้าวมาเป็นนักการเมืองระดับประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ลุงหมักเล่าว่า ชีวิตในวัยเด็กยากจน ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เคยขายขนม
ส่งตัวเองเรียน เมื่อมาเรียนกฏหมายที่ธรรมศาสตร์ ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
ผมเคยเข้าใจว่าลุงหมักเป็นนักเรียนอกเพราะความเป็นคนมีฐานะมาแต่เดิม ซึ่งเคยไปเรียนที่อเมริกาปรากฏว่า ลุงหมักไปยืมเงินเป็นทุนไปเรียนหนังสือ ตอนแต่งงานก็อย่างเรียบง่ายที่ญีี่ปุ่นกับคู่ชีิวตของท่าน
ซึ่งทุกอย่างได้มาไม่ง่ายถ้าท่านอยากทราบก็ต้องไปอ่านหนังสือการเมืองเรื่องตัณหาของลุงหมักที่ท่านได้เขียนขึ้น

From ไว้อาลัยลุงหมัก


ชีวิตการเมืองลุงหมักโลดโผนยากที่จะมีใครเหมือน เป็นหััวหน้าพรรคประชากรไทย
เคยเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง ร่วมรัฐบาลมาก็หลายสมัย ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ีได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนเสียงมากที่สุดแต่ผลงานก็ไม่ค่อยน่าประัทับใจเท่าไหร่ และจบไม่ค่อยสวยเลย คิดว่าชีิวิตการเมืองของลุงหมักต้องจบไปแล้วตอนนั้น



หลังจากพรรคประชากรไทยแทบจะสูญพันธ์ไปแล้ว ลุงหมัก กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน
เพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการและมือที่มองไม่เห็น เข้าสุ่สนามเลือกตั้งอีกครั้ง
ผมยังจำได้ดีวันที่หาเสียงในกลางเดือนธันวาคม 2550 ที่ท้องสนามหลวง
ใกล้เลือกตั้งใหญ่ หลังจากที่รัฐบาลของนายกทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหารในว้ันที่ 19 กันยายน 2549
วันนั้นลุงหมักมาปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ประชาชนมาฟังปราศรัยเยอะจริงๆ เต็มท้องสนามหลวง
นักข่าวรุมล้อมลุงหมัก ผมได้มีโอกาสถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดตามที่ท่านผุ้อ่านได้เห็นอยู่ตอนนี้
วันนั้น มีนักการเมืองหลายท่านจากพรรคพลังประชาชน ที่ยังไม่ถูกยุบมากันเยอะแยะ
และในที่สุดพรรคพลังประชาชนก็ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เป็นเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล



ลุงหมักกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทยอย่างสง่างามและมาจากการเลือกตั้งที่
เต็มไปด้วยอำนาจเผด็จการ ตลอดเกือบ 1 ปีที่ดำรงตำแหน่งทำงานอย่างยากลำบากอย่างยิ่ง
และในทีุ่สุดก็หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะไปทำกับข้าวออกทีวี
พร้อมกับพรรคพลังประชาชนก็ถูกยุบ



จากผมคนที่ไม่เคยชอบขี้หน้าลุงหมัก เพราะเป็นพวกปากร้าย มือเปื้อนเลือดในเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
ด่าจำลองพาคนไปตาย ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2525
วันนี้ผมต้องมาเขียนบทความและอาลัยอย่างสุดซึ้ง
ต่ออดีตนักการเมืองผู้มาจากระบอบประชาธิปไตย ลุงหมักโกงหรือเปล่าผมไม่ทราบ
แต่เขาได้ใจของผมไปแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณของลุงหมักไปสู่สุคตินะครับ

ชีพธรรม คำวิเศษณ์

ความคิดเห็น