ภราดร ศรีชาพันธ์ (คนจับเสือมือเปล่า)


ย้อนหลังไป 4 ปีก่อนผมเคยเขียนหนังสือจับเมือมือเปล่า วิเคราะห์ ชีวิต ของ ไทเกอร์ วูดส์ กับ ภราดร ศรีชาพันธ์ แต่ใน blog นี้จะขอเน้นไปที่ภราดรคนด้วยครับ โดยมุมมองว่าเขาทั้งสองเป็นคนที่เหมือนกันหลายอย่าง เป็นนักกีฬามีคุณพ่อเป็นโค้ช การเป็นนักกีฬาต้องเริ่มต้นจากศูนย์อาศัยความขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่งยวด จับเสือมือเปล่าของผม ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมหรือคดโกงใครแต่เป็นการใช้สมองและสติกำลังของตนเองถ้าหากครอบครัวไม่มีเงินทองมากนัก

ผมเองชื่นชอบคุณพ่อชนะชัย ศรีชาพันธ์ คุณพ่อของภราดร อย่างมาก จากคนธรรมดาที่สามารถสร้างลูกเป็นนักเทนนิสระดับโลก ได้อ่านผลงานหนังสือ "สร้างลูกให้เป็นแชมป์" ได้เห็นถึงความอดทนขยันหมั่นเพียร ความกล้าเสี่ยงที่ยากยิ่งใครจะทำได้ในแผ่นดินไทย วันนี้ภราดรประสบความสำเร็จในหน้าที่การเงินและจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับ อดีตนางงามจักรวาล

ปี 2005 ขอแสดงความยินดีกับภราดร ด้วย แต่วันนี้ขอย้อนอดีตไปวันที่ภราดรจับเสือมือเปล่ากันครับ ไว้ผมจะมาวิเคราะห์ให้ฟังว่าทำไมอดีต นางงามจักรวาลถึงได้รักและเลือกภราดรเป็นคู่ชีวิตในเชิงของสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

บทและเรื่องจากหนังสือจับเสือมือเปล่า เล่ม 1 โดยชีพธรรม คำวิเศษณ์ พ.ศ. 2546


-------------------------------------------------------------------------


ภราดรเริ่มต้นชีวิตของนักเทนนิสในครอบครัวหลังจากที่พ่อตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานธนาคาร เพราะเห็นโอกาสหลังจากที่ไปดูจอห์น แมกแอนด์โรว์ อดีตนักเทนนิสมือหนึ่งของโลกมาแข่งขัน Bangkok classic ที่ประเทศไทยกว่า 20 ปีที่ผ่านมา “เราเริ่มต้นจากการหาไม้เทนเนิสและลูกบอลเก่า ๆ ที่ซื้อจากร้านขายของใช้แล้วมาซ้อม ผมเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถ กับจับทางได้ว่าเทนนิสน่าจะมีลู่ทางทำเงินเพราะตอนนั้นคนไทยยีงไม่นิยมกันมากนักถ้าเราลงมือก่อน เราน่าจะทำสำเร็จเลยฝึกลูกทุกคนจนได้เป็นแชมป์ประเทศไทยทุกรายกระทั่งเป็นที่รู้ว่าตระกูลนี้เล่นเทนนิส” คุณพ่อชนะชัย ศรีชาพันธ์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ ใครที่ได้ติดตามชอบภราดรทางการถ่ายทอดทีวีนั้นคงทราบอยู่แก่ใจว่ายิ่งใหญ่เพียงใดในเวทีลูกสักหลาดของโลก แต่การจับเสือมือเปล่าด้วยการฝึกฝนและทักษะตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพิ่งจะเห็นผลในปี 2545 ที่เขาสามารถคว้าแชมป์ได้สองรายการ แต่ก่อนที่จะได้นั้นอยากให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าการจับเสือมือเปล่านั้นลงทุนลงแรงและเสี่ยงมากเพียงใดผมได้อ่านบทให้สัมภาษณ์ของคุณวินัย รุ่งแสง เจ้าของสนามเทนนิสผู้ปิดทองหลังพระ”ภราดร” ผ่านนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 4 พ.ย. 2545 ช่วงที่คุณพ่อของภราดรเข้ากรุงเทพฯมาใหม่ช่วงนั้นลูกชายคนโต ธนากร ศรีชาพันธ์อายุ 11 ขวบมาแข่งที่สนามบ่อย ๆ เดินทางมาจากจังหวัดขอนแก่น เงินก็ไม่ค่อยมี ไหนจะค่ารถ ค่ากิน ค่าที่พัก พี่ชายผม คุณชลอ รุ่งแสงเห็นความตั้งแต่ก็เลยชวนให้มาพักอยู่ที่สนามเทนนิสบางนา ที่พักก็เป็นไปตามอัตภาพ คือให้พักอยู่ที่บ้านหลังสระว่ายน้ำ ใกล้ ๆ กับสนามเทนนิส เพื่อความสะดวกในการฝึกซ้อม คือให้ที่พัก ให้สนามฝึกซ้อมและช่วงเรื่องอาหารการกิน รวมไปถึงการให้เรียนฟรีที่โรงเรียน ผมไปขอให้เรียนฟรีจนจบการศึกษาทุกคน สำหรับภราดร เข้าเรียนตั้งแต่ ป.1 จนจบ ม.6 ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า อะไรที่ทำให้เขาสามารถสร้างลูกให้เป็นที่นักเทนนิสระดับโลกได้คุณวินัย บอกว่า เกิดจากความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำให้ฝันของเขาเป็นจริง เขาทำทุกอย่างพยายามศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเทนนิสมาก โดยเฉพาะเทคนิคจากมืออาชีพของต่างประเทศ เพราะต้องยอมรับว่าช่วงนั้นเขาไม่มีอะไรบางคนเห็นเขาเข้ามาในสนาม ก็แสดงความรังเกียจ แต่เขาก็ทนแรงกดดันตรงนั้นได้ เขามีความอดทนสูงมาก ซึ่งหาคนแบบนี้ไม่ได้แล้ว ความยิ่งใหญ่ของภราดรเกิดจากความพร้อมสมบูรณ์ของครอบครัว หลังจากพี่ชายสองเล่นเทนนิสพอมีเงินทองหลังจากแข่งขันชนะหลายการสำคัญ ๆ มาบ้าง ทำให้ได้เงินมาสนับสนุนน้องชายคนสุดท้องผลักดันให้ไปสู่ระดับ โลกได้ แต่สำหรับผมแล้วชื่นชมคุณพ่อที่อดทนและรอคอย มาประสบความสำเร็จกับลูกชายคนสุดท้ายได้

ความคิดเห็น