จับเสือมือเปล่า พันธุกรรมของ แอ๊ด คาราบาว บทที่ 3

พันธุกรรมของ แอ๊ด คาราบาว

อาทิตย์ 10 พ.ย. 45 ผมอยู่บ้านเพื่อเตรียมงานเขียนหนังสือ “จับเสือมือเปล่า”
หยิบมติชนรายสัปดาห์ ขึ้นมาอ่าน พลิกไปเรื่อย ๆ พลันเห็น คอลัมภ์รายงานพิเศษ เขียนโดย แอ๊ด คาราบาว
นึกในใจน่าสนใจอย่างยิ่งเพราะผม ชื่นชอบคุณแอ๊ดเป็นทุนอยู่เดิมแล้วมาตลอด 20 ปี
ตั้งแต่ชุด ท.ทหารอดทน , เมดอินไทยแลนด์ ,อเมริโกย จนมาถึงปัจจุบัน พราะเพลงถูกถอดเขียนออกจากหัวใจจริง ๆ
บทความนี้คุณแอ๊ด ตั้งชื่อว่า คนล่าฝัน ถ้าใครได้อ่านแบบเต็ม ๆ จะทราบถึงว่าถอดหัวใจเขียนออกมาจริง ๆ เราจะทราบถึงว่าพันธุกรรมความเป็นแม่ค้านั้นได้มาจากคุณแม่ ที่ต่อสู้เลี้ยงลูกมาอย่างยากลำบาก
บทความนี้เป็นความบังเอิญหรือไม่ ผมไม่ทราบแต่คล้าย ๆ กับ บทความที่ผมเขียนถึงแม่เรื่อง “สิ่งที่ผมได้รับจากแม่” ซึ่งผมอยู่ในภาคผนวกของ “จับเสือมือเปล่า”
คุณแอ๊ดได้เล่าถึงชีวิตตั้งแต่ครั้งยังเด็กประถมจากนั้นเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์ จนกระทั่งมาเป็นศิลปินที่ได้รับชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วประเทศ ผมขอยกช่วงท้ายของบทความเพื่อให้ทุกท่านเห็นสายเลือดและวิญญาณที่ได้รับจากแม่ ว่าทำไมเขาตัดสินใจทำธุรกิจ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง “คาราบาวแดง”
ในขณะที่ความแข็งแกร่งของร่างกายจะน้อยลงไปกับกาลเวลาที่พรากวัยหนุ่มสาวไปจากเราทุกคน
และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมากระทบกับธุรกิจอย่างที่เขาไม่สามารถจะต่อสู้และต้านทานได้

แม่ครับ ผมเขียนเรื่องนี้ ขึ้นมาก็หวังให้แม่ได้อ่านด้วย ผมรักแม่ที่สุดในโลก แม่จำได้ไหมครับ
ตอนที่ผมได้เซ็นสัญญากับเป๊ปซี่ ผมโทรศัพท์หาแม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เป็นคนแรก
แม่คือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่สำหรับผมตลอดกาลครับ
สมัยเด็ก ๆ เวลาผมทำเหรียญสลึงตก ถ้าผมไม่เก็บแม่คงตีผมแน่ แต่ตอนนี้โอกาสทองที่อาจจะเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของผม มันใช่ใช่แค่เหรียญสลึงครับแม่
ลูกแม่เวลานี้ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง หากแต่ว่าเวลาที่ผ่านมาครึ่งชีวิต ได้สั่งสมชื่อเสียง
ประสบการณ์และมิตรสหาย ที่สำคัญยีงมีกลไกอีกหลายชีวิตที่อยุ่ภายใต้ความดูแลรับผิดชอบของลูก
เวลานี้เช่นกันที่กำลังกายของลูกก็ลดลง ในอนาตคข้างหน้าลูกคงไม่สามารถออกไปเล่นดนตรีให้คนฟังได้ ทุกคืนเหมือนในขณะนี้ ความเหนื่อยล้ามาพ้อมกับอายุขัยที่มากขึ้น เดือนนี้ลูก 49 ขวบแล้วครับแม่ ปีหน้าก็ 50 นึกถึงทีไรมันแป้วทุกทีไป แต่ในชีวิตนี้ของลูกสิ่งที่ปรารถนาจะเป็นที่สุดคือ นักดนตรี มันเป็นอาชีพเดียวที่ลูกรักและทำมันได้ดีที่สุด
ดนตรีเป็นพาณิชยศิลป์ของลูกสามารถเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกน้องกว่า 50 ชีวิตมาได้อย่างสบาย ๆ มาหลายปี จวบจนกระทั่งเทคโนโลยีด้านดิจิตอลพัฒนาขึ้นอย่างมาก ไม่รู้ว่าแม่จะเข้าใจหรือไม่ เวลานี้คนเขาไม่ค่อยซื้อเพลงกันเหมือนแต่ก่อน เขาก๊อปปี้ฟัง ก๊อปปี้ขายกันสนุกสนานอย่างยากที่จะปราบปราม นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกันที่ลูกต้องตะเกียกตะกายเพื่อวามอยู่รอดขององค์กรคาราบาว
แม่ครับ ผมกำลังผลิตเครื่องดื่มบำรุงกำลังชื่อ”คาราบาวแดง” ออกจำหน่าย ในขณะนี้โดยมีเพื่อน ๆ กลุ่มเบียร์เยอรมันตะวันแดง เป็นผู้ควบคุมการผลิต ส่วนผมก็จะตะโกนบอกให้ผู้คนให้มาซื้อกิน
ผมเป็นลูกแม่ครับ ความเป็นลูกแม่ค้านี่แหละที่มันยังคงมีอยู่ในสายเลือด และที่ผมทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้เล่นดนตรีที่ผมรักต่อไปตลอดกาล โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ผมรักแม่และภาวนาให้แม่หายเร็ว ๆ ครับ

ความคิดเห็น