ทักษิณ ชินวัตร แก้หนี้ครัวเรือนเห็นโอกาสในกองทุน FIDF แต่ผู้ว่าแบงก์ชาติและเลขาสภาพัฒน์กลับมองไม่ออก
วิกฤตหนี้ครัวเรือนไทย: ทักษิณเห็นโอกาสในกองทุน FIDF แต่ผู้ว่าแบงก์ชาติและเลขาสภาพัฒน์กลับมองไม่ออก
ศุกร์ 20 ธันวาคม 2567
บทนำ: วิกฤตหนี้ที่กำลังลุกลาม
ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แตะระดับเกิน 90% ของ GDP ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราสูงที่สุดในโลก หนี้เหล่านี้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ครัวเรือนที่ลดลง และต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น ในขณะที่ประชาชนหลายล้านคนกำลังหาทางออกจากวงจรหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งเป็นสององค์กรสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจ กลับดูเหมือนไม่สามารถนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์ในเชิงลึกได้
ท่ามกลางวิกฤตนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้เสนอแนวทางที่น่าสนใจ โดยมองว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ แต่แนวคิดนี้กลับถูกมองข้ามจากผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศ
FIDF: กองทุนที่ถูกลืม
FIDF เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนในอัตรา 0.46-0.47% ทักษิณเสนอให้ลดเงินนำส่ง FIDF ลงครึ่งหนึ่ง เหลือ 0.23% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินส่วนต่างไปช่วยเหลือลูกหนี้โดยตรง
แนวคิดของทักษิณ: รวดเร็วและครอบคลุม
ทักษิณมองว่าการลดเงินนำส่ง FIDF จะช่วยลดต้นทุนของธนาคาร ทำให้ธนาคารสามารถชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำเงินส่วนต่างไปปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระให้กับลูกหนี้ได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีหนี้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือหนี้รถยนต์ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ
แนวทางของทักษิณมีจุดเด่นที่ "รวดเร็ว" และ "ครอบคลุม" โดยมุ่งหวังที่จะลดระดับหนี้ครัวเรือนในประเทศ และสร้างระบบสินเชื่อที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน
มุมมองที่แตกต่าง: แบงก์ชาติและสภาพัฒน์
ในขณะที่ทักษิณเสนอแนวทางที่รวดเร็วและครอบคลุม ธปท. และ สศช. กลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยเน้นแนวทาง "ยั่งยืน" และ "เฉพาะกลุ่ม"
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): ผู้ว่าการ ธปท. ในขณะนั้น คือ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กังวลว่าการลดเงินนำส่ง FIDF อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ และทำให้การชำระหนี้ FIDF ล่าช้าออกไป นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหา Moral Hazard หรือพฤติกรรมที่ลูกหนี้จงใจผิดนัดชำระหนี้เพราะคาดหวังความช่วยเหลือจากรัฐ ธปท. จึงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และการสนับสนุนสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.): เลขาธิการ สศช. ดนุชา พิชยนันท์ เห็นด้วยในหลักการ แต่เน้นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น หนี้บ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และหนี้รถยนต์ที่ใช้ประกอบอาชีพ สศช. เตือนว่าการใช้มาตรการแบบทั่วไปอาจนำไปสู่ปัญหา Moral Hazard ได้
ความกล้าที่จะเปลี่ยน หรือปล่อยให้ปัญหารุมเร้า
แนวคิดของทักษิณสะท้อนถึงความจำเป็นในการ "กล้าที่จะเปลี่ยน" เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ซับซ้อน เช่น หนี้ครัวเรือน แต่คำถามที่สำคัญคือ ระบบราชการไทยพร้อมหรือไม่ที่จะเดินตามวิสัยทัศน์นั้น? หรือจะยังคงติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ที่เน้นความมั่นคงมากกว่าการสร้างโอกาสใหม่?
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ หากไม่มีใครกล้าเดินหน้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะยังคงเป็น "ระเบิดเวลา" ที่พร้อมจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยต่อไป
บทสรุป: ถึงเวลาคิดใหม่
ในขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นทุกปี ประเทศไทยจำเป็นต้องมีผู้นำทางเศรษฐกิจที่พร้อมจะเสี่ยงเพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า ทักษิณได้เสนอแนวคิดที่ชัดเจนและมีเป้าหมาย แต่คำถามสำคัญคือ ผู้บริหารเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันจะกล้าพอที่จะนำมันไปปฏิบัติหรือไม่ หรือจะยังคงยึดติดกับความระมัดระวังจนทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้ต่อไป
ทักษิณ ชินวัตร เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยมุ่งเน้นไปที่การใช้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เป็นเครื่องมือหลักในการช่วยเหลือลูกหนี้ แนวคิดของทักษิณมีลักษณะเด่นคือ "รวดเร็ว" และ "ครอบคลุม" โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ลดอัตรานำส่งเงินเข้ากองทุน FIDF: ทักษิณเสนอให้ลดอัตราเงินนำส่งที่สถาบันการเงินต้องจ่ายเข้ากองทุน FIDF ลงครึ่งหนึ่ง จาก 0.46-0.47% เหลือ 0.23% โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สถาบันการเงินมีเงินส่วนต่างไปใช้ในการช่วยเหลือลูกหนี้โดยตรง
- ช่วยเหลือลูกหนี้โดยตรง: เงินส่วนต่างจากการลดอัตรานำส่งจะถูกนำไปใช้ในการปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้สินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีหนี้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือหนี้รถยนต์ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ
- ยืดหยุ่นการบังคับคดี: ทักษิณเสนอให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการต้องยอมสละสิทธิ์ในการฟ้องล้มละลาย และชะลอการยึดหลักประกัน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่กำลังประสบปัญหา
- การใช้เงินจากกองทุน FIDF: เสนอให้ใช้เงินจากการลดส่งเข้ากองทุน FIDF มาเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการหนี้บ้านและรถยนต์ เพื่อลดภาระหนี้เสีย
- ไม่กลัวความเสี่ยง: ทักษิณแสดงความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบการเงิน หากสามารถช่วยประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยมองว่าการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตของประชาชน
- กระตุ้นการบริโภค: ทักษิณเชื่อว่าการลดภาระหนี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน
- การปรับโครงสร้างหนี้: ทักษิณเน้นว่าต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถฟื้นตัวจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้ ทักษิณยังมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว เช่น การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยี และการปรับปรุงภาคการเกษตร
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของทักษิณนั้นแตกต่างจากแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่เน้นความระมัดระวังและมองถึงผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินมากกว่า โดย ธปท. กังวลว่าการลดเงินนำส่ง FIDF จะทำให้การชำระหนี้ของกองทุนล่าช้าและกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในระยะยาว ขณะที่ สศช. เห็นด้วยในหลักการ แต่เน้นการช่วยเหลือแบบเฉพาะกลุ่มเพื่อป้องกันปัญหา Moral Hazard
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงินในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
ที่มาของกองทุน FIDF และบทบาทในวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีดังนี้:
- วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540: วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาการชะลอตัวของมูลค่าการส่งออกและปัญหาสภาพคล่องของบริษัทเงินทุน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือเกี่ยวกับฐานะการเงินของบริษัทเงินทุน และประชาชนเริ่มถอนเงินฝาก รัฐบาลจึงประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินหลายแห่ง
- การจัดตั้งกองทุน FIDF: เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าว รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ร่วมกันออกมาตรการต่าง ๆ โดยดำเนินการผ่านกองทุน FIDF กองทุนนี้เป็นนิติบุคคลที่มีสินทรัพย์และหนี้สินแยกต่างหากจาก ธปท. จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีความมั่นคง โดยมีภาระหนี้กว่าล้านล้านบาท
- บทบาทของกองทุน FIDF:
- ช่วยเหลือสถาบันการเงิน: กองทุน FIDF เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาโดยการให้เงินกู้และเพิ่มทุน
- รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน: กองทุนมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ฝากเงินและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ
- ชดเชยความเสียหาย: กองทุนฯ มีส่วนช่วยชดเชยความสูญเสียจากการปิดสถาบันการเงินที่มีปัญหา และเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน
- ระดมทุน: รัฐบาลได้ออกพันธบัตร FIDF1, FIDF2 และ FIDF3 เพื่อระดมทุนมาช่วยเหลือสถาบันการเงินในช่วงปี 2541-2545 รวมเป็นวงเงิน 1.21 ล้านล้านบาท และมีมติ ครม. เพื่อค้ำประกันพันธบัตรที่ออกโดยกองทุนฟื้นฟูฯ อีก 1.12 แสนล้านบาท
- การบริหารจัดการหนี้: หลังจากวิกฤตปี 2540 กองทุน FIDF มีการทยอยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย โดยมีกระทรวงการคลังเข้ามาช่วยปรับโครงสร้างหนี้ ต่อมาในปี 2555 รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้ เพื่อเพิ่มแหล่งเงินมาชำระหนี้ FIDF ที่คงเหลือ และกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินสมทบเพื่อชำระหนี้
- ภาระหนี้คงค้าง: แม้จะมีการชำระหนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 กองทุน FIDF ยังมีหนี้คงค้างอยู่ประมาณ 560,869 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5% ของวงเงินหนี้สาธารณะทั้งหมด
โดยสรุป กองทุน FIDF ก่อตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือสถาบันการเงิน รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน และชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้ว่ากองทุนจะช่วยแก้ไขวิกฤตในขณะนั้น แต่ก็ยังคงมีหนี้คงค้างที่ต้องบริหารจัดการต่อไป
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีความกังวลต่อข้อเสนอของทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) โดยมีประเด็นหลักดังนี้:
- ความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเงิน: ธปท. กังวลว่าการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF อาจทำให้การชำระหนี้ของกองทุนล่าช้าและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในระยะยาว การลดเงินนำส่งจะทำให้เงินต้นที่ใช้ชำระหนี้ของกองทุนลดลง ซึ่งอาจทำให้ระยะเวลาการชำระหนี้ล่าช้าออกไป
- ความเสี่ยงต่อการชำระหนี้ของกองทุน FIDF: ธปท. กังวลว่าการลดเงินนำส่งจะกระทบต่อการชำระหนี้ของกองทุน FIDF และอาจสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน ธปท. ยืนยันว่าการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF จะไม่กระทบต่อการชำระคืนหนี้ของกองทุน และจะไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ อย่างไรก็ตาม ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. เสนอว่าการลดเงินนำส่ง FIDF ควรเป็นมาตรการชั่วคราว และต้องมีเงื่อนไขที่ชัดเจนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบการเงินโดยรวม
- ผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์: ธปท. กังวลว่าหากมาตรการลดเงินนำส่งไม่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงจากหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในระบบ
- แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน:
- ธปท.: เน้นการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยการปรับโครงสร้างหนี้, การกำกับดูแลธนาคารให้ดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ, การส่งเสริมวินัยทางการเงิน และยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์
- สศช.: สนับสนุนการให้ความช่วยเหลือแบบเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นกลุ่มเปราะบาง เช่น ลูกหนี้ที่มีบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และหนี้รถยนต์ที่ใช้ประกอบอาชีพ
- ความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานสินเชื่อ: ธปท. กังวลว่าการลดเงินนำส่ง FIDF อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงจากหนี้เสีย (NPL) ที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในระบบ
- ขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน: แม้ว่าทั้งสององค์กรจะเข้าใจถึงความสำคัญของปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่การดำเนินการส่วนใหญ่กลับเน้นไปที่มาตรการเล็กน้อย เช่น การให้คำแนะนำเรื่องวินัยทางการเงิน มากกว่าการใช้เครื่องมือทางการเงินขนาดใหญ่
- ความระมัดระวังในการดำเนินนโยบาย: ทั้ง ธปท. และ สศช. มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายแบบอนุรักษ์นิยม โดยเน้นความปลอดภัยของระบบการเงินโดยรวมมากกว่าการตอบสนองต่อวิกฤตหนี้ครัวเรือนที่เร่งด่วน
โดยสรุป ธปท. และ สศช. มีความกังวลหลักเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบธนาคาร หากมีการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ตามข้อเสนอของทักษิณ นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังเน้นการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาวผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมวินัยทางการเงิน และการให้ความช่วยเหลือแบบเฉพาะกลุ่มมากกว่าการใช้มาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินในวงกว้าง
การลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ตามข้อเสนอของทักษิณ ชินวัตร มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน:
ข้อดีของการลดเงินนำส่ง FIDF
- ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและขยายเวลาผ่อนหนี้: การลดเงินนำส่ง FIDF จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องมากขึ้น ทำให้สามารถนำเงินส่วนต่างไปปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือขยายเวลาการผ่อนชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้เปราะบางที่มีหนี้เสีย (NPL) ซึ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้
- เพิ่มสภาพคล่องให้ธนาคารพาณิชย์: การลดเงินนำส่ง FIDF จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ในระยะสั้น ทำให้ธนาคารมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น
- กระตุ้นเศรษฐกิจ: การลดภาระหนี้สินของประชาชนจะช่วยให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคและการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
- ช่วยเหลือลูกหนี้ได้โดยตรง: การลดเงินนำส่ง FIDF สามารถนำไปใช้ช่วยเหลือลูกหนี้ได้โดยตรง เช่น การพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือการปรับโครงสร้างหนี้
- ลดความเสี่ยงของหนี้เสีย: การลดภาระหนี้สินของประชาชนจะช่วยลดความเสี่ยงของหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคาร
- เป็นมาตรการที่เคยใช้ได้ผล: รัฐบาลเคยลดการนำส่งเงินเข้า FIDF ชั่วคราวในช่วงโควิด-19 เพื่อให้สถาบันการเงินลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นมาตรการที่สามารถนำมาใช้ได้
ข้อเสียและความท้าทายของการลดเงินนำส่ง FIDF
- ผลกระทบต่อการชำระหนี้ของกองทุน FIDF: การลดเงินนำส่งจะทำให้เงินต้นที่ใช้ชำระหนี้ของกองทุนลดลง ซึ่งอาจทำให้ระยะเวลาการชำระหนี้ของกองทุน FIDF ล่าช้าออกไป โดยอาจจะช้าลงประมาณครึ่งปี
- ความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเงิน: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กังวลว่าการลดเงินนำส่ง FIDF อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในระยะยาว เนื่องจากหนี้ของกองทุน FIDF ยังถูกนับรวมเป็นหนี้สาธารณะ
- ความเสี่ยงด้านศีลธรรม (Moral Hazard): การช่วยเหลือลูกหนี้แบบทั่วไปอาจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมไม่รับผิดชอบ เช่น การตั้งใจผิดนัดชำระหนี้ เพราะคาดหวังความช่วยเหลือจากรัฐ
- ความซับซ้อนในการดำเนินการ: การลดเงินนำส่ง FIDF ต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดจาก ธปท. และกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อทั้งธนาคารพาณิชย์และเศรษฐกิจโดยรวม
- อาจไม่ครอบคลุมลูกหนี้ทั้งหมด: การช่วยเหลืออาจจำกัดเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่มีความจำเป็น เช่น ลูกหนี้ที่มีบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือหนี้รถยนต์ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ ทำให้ไม่ครอบคลุมลูกหนี้ทุกประเภท โดยเฉพาะหนี้เพื่อการบริโภค เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล
- ผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร: ธปท. กังวลว่าการลดเงินนำส่ง FIDF อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงจากหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในระบบ
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:
- มาตรการเฉพาะกลุ่ม: ควรออกแบบมาตรการให้เจาะจงเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อป้องกันปัญหา Moral Hazard และให้ความช่วยเหลือตรงจุด เช่น ลูกหนี้ที่มีบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือลูกหนี้ที่มีหนี้เสียที่เกิดก่อนวันที่กำหนด
- การหารือร่วมกัน: การดำเนินการมาตรการลดเงินนำส่ง FIDF ต้องผ่านการหารืออย่างละเอียดระหว่างกระทรวงการคลัง ธปท. และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อประเมินผลกระทบและความเหมาะสมในเชิงระบบ
- การบริหารจัดการผลกระทบ: ควรมีการบริหารจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อกองทุน FIDF และระบบเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ เพื่อให้มาตรการมีประสิทธิภาพสูงสุดและไม่สร้างปัญหาใหม่ในระบบ
- การปรับโครงสร้างหนี้: ควรเน้นการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน เช่น การลดดอกเบี้ย การปรับระยะเวลาชำระหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
- การส่งเสริมวินัยทางการเงิน: ควรส่งเสริมวินัยทางการเงินเพื่อป้องกันการก่อหนี้เกินตัวในอนาคต
โดยสรุป การลดเงินนำส่ง FIDF มีศักยภาพในการช่วยลดภาระหนี้ของประชาชนได้จริง แต่ก็มีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การตัดสินใจใดๆ ต้องคำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ ทั้งต่อลูกหนี้ ธนาคารพาณิชย์ และเศรษฐกิจโดยรวม
ลำดับเหตุการณ์สำคัญ (Timeline)
- พฤษภาคม 2539: ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่งผลกระทบต่อบริษัทเงินทุนในเครือ
- ต้นเดือนกันยายน 2539: ข่าวลือเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินของบริษัทเงินทุนแพร่สะพัด แม้ ธปท. ปฏิเสธ แต่ก็เกิดการถอนเงินฝาก
- ช่วงต้นปี 2540: มีข่าวการลดค่าเงินบาท และ Moody's พิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ระยะยาว ทำให้อัตราดอกเบี้ยผันผวนรุนแรง การถอนเงินฝากลุกลาม ทำให้สถาบันการเงินกว่า 40 แห่งขอความช่วยเหลือจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (FIDF) เป็นเงินกว่า 200,000 ล้านบาท
- 10 มกราคม 2555: รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติอนุมัติพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้ FIDF เพื่อลดภาระงบประมาณในการชำระดอกเบี้ย
- 27 มกราคม 2555: พระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 มีผลบังคับใช้
- ปี 2563-2565: ธปท. ปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF จาก 0.46% เหลือ 0.23% เพื่อช่วยสถาบันการเงินและลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
- ต้นปี 2566: ธปท. ปรับอัตราเงินนำส่งเข้า FIDF กลับสู่ระดับปกติ 0.46% และยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์
- ปัจจุบัน (สิงหาคม 2567): ยอดเงินต้นคงเหลือของ FIDF อยู่ที่ 580,000 ล้านบาท เป็นหนี้สาธารณะภายใต้งบดุลกระทรวงการคลัง แต่ละปีจ่ายดอกเบี้ยรวม 16,000 ล้านบาท
- ช่วงเวลาปัจจุบัน: มีข้อเสนอจากนายทักษิณ ชินวัตร ให้ลดอัตราเงินนำส่ง FIDF เหลือ 0.23% เพื่อนำเงินส่วนต่างไปช่วยเหลือลูกหนี้โดยตรง ซึ่งมีความเห็นแตกต่างกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตัวละครหลัก (Cast of Characters)
- ทักษิณ ชินวัตร: อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอให้ลดเงินนำส่ง FIDF เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้โดยตรง โดยมองว่า FIDF เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้
- เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ: อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน และความล่าช้าในการชำระหนี้ของกองทุน FIDF จากการลดเงินนำส่ง
- ดนุชา พิชยนันท์: เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นด้วยกับหลักการลดเงินนำส่ง แต่เน้นให้ความช่วยเหลือแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อลดความเสี่ยงด้าน Moral Hazard
- รณดล นุ่มนนท์: รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เป็นผู้ที่ปรับอัตราเงินนำส่ง FIDF กลับสู่ระดับปกติ 0.46% ในปี 2566
- สุวรรณี เจษฎาศักดิ์: ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยอดหนี้ FIDF และกระบวนการชำระหนี้
- จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นด้วยกับการลดเงินนำส่ง FIDF เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้
- เผ่าภูมิ โรจนสกุล: รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เห็นด้วยกับการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี และลดเงินนำส่ง FIDF เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ NPL
คำอธิบายเพิ่มเติม
- FIDF (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน): กองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2540 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาและผู้ฝากเงิน
- เงินนำส่ง FIDF: เงินที่สถาบันการเงินนำส่งให้กองทุน FIDF โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากเงินฝาก
- Moral Hazard: ความเสี่ยงที่ผู้ได้รับความคุ้มครองจะประพฤติตัวเสี่ยงมากขึ้น โดยในกรณีนี้ หมายถึงลูกหนี้อาจจงใจผิดนัดชำระหนี้ เพราะคาดหวังความช่วยเหลือจากรัฐ
- NPL (Non-Performing Loan): หนี้เสีย หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
- SM (Special Mention): หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือหนี้ที่ค้างชำระ 1-3 เดือน
ความคิดเห็น